ดูหนังออนไลน์ 4k ‘มาริโอ เดอ วัลเดส อี วัวคอม’ (Mario De Valdes y Cocom) นักประวัติศาสตร์คนแอฟริกันได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้ว่าพระนางสืบทอดมาจากเครือญาติของกษัตริย์อัลฟอนโซที่ 3 ที่ประเทศโปรตุเกสกับ โอรูอานา (Ouruana) พระสนมชาวมัวร์ ซึ่งพระบุตรชายองค์หนึ่งในเชื้อสายนี้ก็ไปแต่งงานกับเชื้อสายเจ้าขุนมูลนายชาวประเทศโปรตุเกส ที่สืบสกุลมาจากคนดำด้วยเหมือนกัน ก็พอๆกับว่าพระนางสืบสกุลมาจากเครือญาติลูกครึ่งผ่านทางแม่ของท่านนั่นเองจ้ะ
งานนี้นักเขียนจะขอผ่านการถกพินิจพิจารณาวิภาควิจารณ์ถึงเงื่อนเรื่องราวที่จับมาเล่น เพราะเหตุว่าจะเป็นการสปอยล์รายละเอียดสำคัญ แม้กระนั้นขอพูดถึงไว้น้อยกับบทจบที่เป็นส่วนที่ถูกใจมากมายสุดของเรื่อง ก็คือทิ้งปัญหาเป็นปลายเปิดไว้ให้คิดกันต่อเองเพลิดเพลินๆสุดแท้แต่ว่าผู้ชมจะเลือกเชื่อผู้ใดกัน ซอจิน หรือ ยูจิน (นักเขียนโอนเอนเชื่อยูจินนะ ด้วยเหตุว่าแอบเชียร์ให้จบดาร์ค!!)
แต่ หากมองกันแบบไม่คิดอะไรมากมาย ก็จัดว่ารู้เรื่องเบิกบานดีระดับหนึ่งนะ ได้มองความรู้ความเข้าใจของผู้แสดงดีๆคิมมูยอลเองลงทุนลดหุ่นเพื่อกับบทผู้เจ็บป่วยจิต ทุกข์ตรมหม่นหมอง หุ่นเลยไม่เหมือนกันอย่างชัดเจนจากที่ล่ำๆแน่นๆในเรื่อง The Gangster, The Cop, The Devil (2019) ส่วน ซงจีฮโย อีกทั้งงานเมคอัพ คอสตูม รวมทั้งแอคติง ทำคุณแปรไปจากภาพจำเมมเบอร์หลักรายการ Running Man หรือซีรีส์ Was It Love? (2020) อย่างสิ้นเชิง นานๆคราวคุณจะรับงานแสดง แฟนๆก็ตามมาเชียร์กันได้จ้ะ
ประเด็นนี้มีการสืบไปถึง 15 ชั่วลูกชั่วหลาน และก็เป็นการตั้งข้อสันนิษฐานจากพระสาทิสลักษณ์ (ภาพวาด) ของท่าน ว่าสีผิวที่ช่างวาดภาพวาดนั้นเข้มกว่าภาพวาดของเชื้อพระวงศ์องค์อื่นในยุคนั้น ทั้งที่ชอบนิยมวาดสีผิวให้ขาวกว่าองค์จริงกันอยู่แล้ว แต่ว่าสีผิวของควีนชาร์ล็อตต์ก็ยังเข้มกว่าท่านอื่นอยู่ดี แถมยังตัวเล็กรวมทั้งโครงหน้า ปีกจมูก ริมฝีปากก็ชี้ว่าเป็นลูกครึ่งผิวดำ ซึ่งจากข้อสมมติฐานกับภาพวาดท่านจริงที่มีอยู่นี้ก็ทำให้การเคสติ้งออกมาปั๊วปังอยู่เด้อ ว่ามิได้
ดูหนังออนไลน์ 4k รีวิวภาพยนตร์ Seven Years of Night (2018)
จากนิยายขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นำมาผลิตเป็นภาพยนตร์ทริลเลอร์ ตื่นเต้น ตื่นเต้น สั่นประสาทด้วยฉากความร้ายแรงทางร่างกายและก็ทางจิตใจ ผสมงานสืบสาวปัญหาการฆ่า บนพล็อตการทวงแค้น แน่ๆว่าหัวข้อนี้มันจะต้องมากับความโหดร้ายทารุณแล้วก็ความสลดหดหู่ซึมเซาอย่างแน่แท้จ้ะ เตรียมตัวเตรียมใจมาดูกันเลย!เรื่องราวของ โอเซ วัยรุ่นหัวร้อนที่เก่งต่อยตีจะต้องประสบพบเจอปัญหาทางบ้าน แม่ที่ทิ้งบิดาไปแต่ว่ายังกลับมาเกาะขอเงิน
ส่วนบิดาก็บริหารร้านค้าซูชิเจ๊งกระทั่งมีหนี้รวมทั้งในที่สุดก็จำต้องมาล้มป่วยจากอุบัติเหตุ ความยากไร้รวมทั้งไม่มีคนแก่ให้พึ่งพาอาศัย ทำให้โอเซหันหาอะไรก็ได้ที่ได้เงินมากมายอย่างเร็วเพื่อหารายได้ 8 ล้านเยนมาใช้หนี้ให้บิดา และก็ซูบดก็คือช่องทางที่เขาได้รับไม่ได้มีความแตกต่างจากในไทยที่เด็กในครอบครัวรายได้น้อยถูกส่งไปฝึกฝนมวยไทยเพื่อค้าลำแข้งยอมเจ็บตัวเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอย่างไร้โอกาสจำนวนมาก
นี้ซีรีส์ปูบทมาเจริญเพราะว่าภาพของบิดาที่ป่วยไข้แล้วก็ความทุกข์ยากของชีวิตนั้นรอกลับมาตอกย้ำซ้ำเติมโอเซในจังหวะที่เขาจะต้องตกลงใจอะไรบางอย่างเสมอ รวมทั้งทำให้พวกเรารู้สึกเห็นอกเห็นใจแทนที่จะหมั่นไส้ในเวลาที่เขาเลือกทางไม่ถูกอย่างทิ้งการซ้อมไปเป็นของเล่นคนมั่งมีเพื่อเงินแต่ว่าจุดที่ถือว่าไม่เหมือนกันกับเรื่องอื่นๆอยู่สักนิดสักหน่อยก็ตรงที่การจับให้พระนางได้พบกันแบบไม่ซาบซึ้งใจเอาซะเลย ไม่ว่าจะเป็นการเจอกันจำนวนกี่ครั้งก็สร้างความขายขี้หน้าให้
อีกทั้งการเข้าใจผิดในคราวแรกรวมทั้งการให้นางเอกเจ็บท้องหนักจนถึงจำเป็นต้องแวะถ่ายปัสสาวะที่ห้องผู้แสดงนำชาย แถมยังมัวแต่เล่นสนุกสนานกับเทคโนโลยีห้องอาบน้ำ ขณะที่ตนเองก็ยังนั่งอยู่บนโถส้วม กระทั่งมองตาเข้าอย่างจังกับดารานำชายที่ยืนอึ้งกับภาพที่มองเห็น นี่มันเป็นการคิดพล็อต เขียนบท จากมันสมองของ ‘ชอนซองอิล’ ที่เขียน ‘All of Us Are Dead | มัธยมซอมบี้’ หรอเนี่ย ฉีกมากมาย
ทางด้านข้างหญิง พัคแฮจู (สวมบทโดย โกซองฮี) เป็นอดีตนักวิ่งดาวรุ่งที่จำเป็นต้องลาวงการเนื่องจากว่าข้อเท้าเจ็บเมื่อหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าชีวิตจะเคยชินกับความเร็วความสูงมาตลอด คุณก็ยอมดำเนินชีวิตนิ่งๆหันเหไปเป็นคุณครูสอนหนังสือ แต่ว่าเผลอแว้บเดียวอายุก็ขว้างเข้าเลขสาม ทำให้บิดามารดาแล้วก็พี่ชายอีกทั้งสามพากันร้อนใจ จะต้องวุ่นวายเร่งเร้าให้คุณรีบสมรส คุณก็เลยอยู่เฉยมิได้ซะละ ก็เพราะว่าคุณต้องการดำรงชีวิตอิสระของตนเอง จะไม่มีคู่ครองจะแต่ง ขอเป็นคนตัดสินใจเองขณะที่ปรารถนา
รีวิว King The Land : คอมเมดี้พล็อตซ้ำ
ฟาดศีรษะเข้าบ้านได้อย่างจังกับซีรีส์เรื่องใหม่พื้นที่ประเทศเกาหลีจัดมาเสิร์ฟแฟนคลับคราวนี้ มั่นใจว่าแฟนซีรีส์ประเทศเกาหลีตัวยงจึงควรคุ้นกับพล็อตโดยรวมของเรื่องแน่นอนที่ดารานำชายมั่งมีเวอร์ผู้แสนเย็นชาแล้วก็มีเงื่อน จำเป็นต้องมาหลงรักกับนางเอกที่แสนผ่องใส เก่ง แสบ แต่ว่าฐานะด้อยกว่า พล็อตอย่างงี้ละจ้ะ ขายง่ายขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามานักต่อนักรวมทั้ง ‘King The Land’ ก็เดินอยู่ในพล็อตนี้แบบเฉิดฉันตั้งแต่สองตอนต้นซะด้วยสิ
ยิ่งไปกว่านี้มันยังมีหลายจุดที่ทำให้รำลึกถึงหนังและก็ซีรีส์หลายๆเรื่องโดยยิ่งไปกว่านั้นการแข่งขันชิงชัยเพื่อหาคนส่งของที่ได้บรรยากาศของหนังแนวเซอร์ไววัลอย่าง ‘The Hunger Game’ หรือจนกระทั่งซีรีส์ประเทศเกาหลีแนวเกมหนีตายอย่าง ‘Alice in Borderland’ หรือจนถึงมีฉากแข่งรถแบบไม่มีข้อตกลงที่ทำให้อดระลึกถึง ‘Death Race’ หนังแข่งรถดิสโทเปียของโรเจอร์ คอร์แมน (Roger Corman) โน่นเลย
แต่ว่าถึงจะมีภาพเดจาวูของหนังไซไฟโผล่มาเป็นระยะ ศูนย์กลางของบทหนังก็ยังกล่าวถึงเรื่องชนชั้นแล้วก็ความไม่ทัดเทียมที่ดูราวกับว่าประเทศเกาหลีเองจะยิ่งโหมหัวข้อนี้รุนแรงเข้าไปอีกข้างหลังการบรรลุผลของ ‘Parasite’ ซึ่งการนำมาใช้กับ ‘Black Knight’ เองก็ดูเหมือนมิได้เหนือความมุ่งมาดอะไร เนื่องจากว่าหนังฮอลลีวูดเองก็เล่นเรื่องนี้อยู่แล้วเพียงแค่อุปสรรคสำคัญของมันเป็นการที่เรื่องที่มันจะเล่าถูกเฉไฉออกสมุทรไปไกลตั้งแต่ต้นเพียงแค่นั้น
อย่างที่พูดว่าซีรีส์ดำเนินไปด้วยความเข้มข้นรวมทั้งฉับไวปานลิงลม แม้กระนั้นก็เป็น 4 ตอนประสิทธิภาพที่มั่นใจว่าบางทีอาจสะกิดใจของใครซักคนได้แน่นอนโดยยิ่งไปกว่านั้นคนเป็นแม่ที่กำลังวาดอนาคตให้ลูกด้วยมือของแม่เอง ด้วยการเขียนบทที่สุดโต่งแม้กระนั้นก็แน่ชัดตรงประเด็นในทางของการสื่อความหมาย เพราะเหตุว่าในชีวิตจริงอาจจะไม่มีผู้ใดเอาจริงเอาจังถึงกับขนาดบอกลูกว่า “อย่ารับประทานข้าวจนกระทั่งอิ่ม เพราะว่ามันจะมีผลให้แกง่วงกระทั่งอ่านหนังสือมิได้”
หนำซ้ำยังไม่อาจจะสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับลูกได้ ว่าที่แม่ทำไปทุกๆอย่างเพราะว่าความรัก ส่วนตัวนักเขียนมั่นใจว่า บทซีรีส์หัวข้อนี้เป็นการเขียนขึ้นมาเพื่อสะท้อนบางประเด็นของสังคม ที่ยังคงมีการชิงชัยอย่างมากถ่วงในทุกสาขาอาชีพ และก็ลูกก็ได้เปลี่ยนเป็นความคาดหมายรวมทั้งผู้แทนความฝันของบิดามารดา จนกระทั่งภาระหน้าที่หนักตกมาลำดับที่สองบ่าเล็กๆลูกมากยิ่งกว่าใครๆ
My Dream Class เล่าของอาจารย์ชายหนุ่ม มือใหม่ ที่อยากได้งาน ได้เงิน ได้ประวัติการทำงานไปเพิ่มเติมประวัติแบบย่อสำหรับเพื่อใช้ในการสำหรับสมัครงาน ก็เลยรับงานสอนหนังสือในโครงงาน Dream Class ที่สถานศึกษาบ้านนอกไกลห่าง ประสบการณ์ของเขารวมทั้งนักเรียนที่ได้รับด้วยกันตรงนี้ ต่างแปลงเป็นทรงจำที่สุดจับใจของกันและกัน อ่านพลอตแว็บแรก เชิญให้คนจำนวนไม่น้อยคิดไปถึงภาพยนตร์ไทย ‘นึกถึงวิทยา’ ที่บี้และก็พลอยแสดงนับเป็นเวลาหลายปีที่แล้ว
รีวิวภาพยนตร์ Cook Up A Storm (2017)
ภาพยนตร์เรื่องแรกของจองยงฮวา ซึ่งเขาได้รับเลือกให้ไปร่วมงานกับทางฝั่งจีน นับว่าเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อีกหนึ่งเรื่องของจีน ซึ่งทุ่มทุนสร้างด้วยเงินทุนถึง 38 ล้านเหรียฐสหรัฐ และก็เปิดตัวมากมายก่ายกองฮือฮา พร้อมกับกิมมิคสำหรับการใช้เทคโนโลยี 4D มาร่วมสร้างความเด่นให้หนัง หมายคือการที่ผู้ชมในโรงจะได้รับกลิ่นของของกินในขณะมองฉากทำครัวไปด้วย ด้วยงานภาพ เสียง แถมยังมีกลิ่นยั่วซะขนาดนั้น ทายใจว่าหนังฉายจบ ผู้ชมออกมาจากโรงมา ห้องอาหารแถวนั้นคงจะขายดิบขายดีอย่างยิ่งจริงๆ
ภาพยนตร์หัวข้อนี้เกี่ยวกับเรื่องราวของสองเชฟมือดีที่มีความแตกต่างสไตล์ระหว่างประเทศตะวันตกและก็ประเทศตะวันออกมาเจอะกัน และก็พวกเขาจะต้องใช้เกียรติความรู้ความเข้าใจมาดวลแข่งขันความสามารถกัน เพื่อจะได้เป็นยอดเยี่ยมเชฟที่กำลังจะได้รับการยินยอมรับสากล จำต้องลองมองกันว่าพอเพียงจะเป็น ‘นึกถึงวิทยาฉบับประเทศเกาหลี’ ได้ไหมซีรีส์ชี้ให้เห็นว่าความดุเดือดและก็จริงจังที่แม่ทำ สร้างความกลัวให้ลูกมากยิ่งกว่าความยำเกรงรัก
พูดได้ว่า หนังหัวข้อนี้จะจุดโฟกัสโมเมนท์การเผชิญหน้ากับปัญหาแล้วก็สังหารให้รอดพ้นจากอันตรายของซอมบี้ หนังตัดทอนเนื้อหาบริบทอื่นๆออกไป และก็จะเดินเรื่องให้พวกเรามองเห็นความก้าวหน้าของนักแสดงจุนอูที่เบาๆแปรไป ดูหนังออนไลน์ 4k อีกทั้งการมองปัญหา การเล่าเรียนกรรมวิธีการเอาชีวิตรอด แล้วก็ความนึกคิดการตัดสินใจ แซมด้วยฉากแอคชันตื่นเต้นลุ้นหวาดเสียวบ้างเป็นบางโอกาส
ฉากบีบคั้นความรู้สึก เชิญชวนอึดอัด และยังรวมไปถึงความท้อใจหดหู่ ซึ่งก็ยังมีสลับหยอดความมุ่งหวังมาชูใจบ้าง ให้ผู้ชมรอตามติดลุ้นกลับกลอกว่า เขาจะไม่เป็นอันตรายได้ตลอดรอดฝั่งไหม ด้วยเหตุว่าไม่เพียงแค่จำต้องสู้กับซอมบี้ ดูหนังออนไลน์ 4k แต่ว่าจำต้องสู้กับความหวาดกลัว สู้กับจิตใจตนเองด้วย อสูรกายเหมือนหนูในครัว รวมทั้งอื่นๆจนถึงเขาจะต้องมาอยู่เฝ้าหน้าประตูบ้านไว้และไม่กล้าหลับ
โดยสรุป ก็เลยเป็นความบันเทิงใจในแบบที่จำต้องไม่ตั้งความมุ่งหวังแอคชันกระหน่ำ หรือทริลลิงสุดระทึก หรือเรื่องราวที่ไปที่มามากไม่น้อยเลยทีเดียว แบบหนังซอมบี้อื่นๆที่เคยดูมา เพราะเหตุว่าหนังหัวข้อนี้คงจะตั้งมั่นให้ผู้ชมจุดโฟกัสกันไปที่ how to be alive ทั้งยังความหมายตรงเรียกตัวอักษร (literally) รวมทั้ง ความหมายนัยที่ซ่อนเร้นไว้เป็นสาระให้เอาไปคิดต่อกันจ้ะ
เดิมแอสเตอร์เคยทำหนังสั้นชื่อ ‘Beau’ (2011) เล่าของชายผิวดำกลางคน (รับบทบาทโดย ใบเสร็จรับเงินลี มาโย (Billy Mayo)) ที่จะออกมาจากบ้านขึ้นเครื่องไปพบแม่ แม้กระนั้นปรากฏว่ากุญแจบ้านกับกระเป๋าสำหรับเดินทางกำเนิดถูกลักขโมยไป ทำให้เขาไม่บางทีอาจทิ้งบ้านไว้ได้ รวมทั้งความวิตกกังวลที่บ้านของเขาไม่สามารถที่จะปิดประตูล็อกก็ทำให้เขาเริ่มสงสัยกระทั่งมองเห็นและก็ได้ยินอะไรแปลกๆหลายประเภทเป็นต้นว่าคนที่ไม่รู้จักที่มาก่นดุหน้าบ้าน
ในช่วงท้ายของเรื่องสั้นนี้บอกใบ้ว่าแม่ที่พวกเราไม่เคยมองเห็นหน้าของโบนี้เองบางทีอาจเป็นตัวประหลาดที่เป็นสาเหตุของความหวาดกลัวทั้งปวง ซึ่งก็จบแบบปลายเปิดมิได้เฉลยคำตอบอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ผู้คนจำนวนมากก็คาดว่าหนังสั้นประเด็นนี้บางทีอาจส่งอิทธิพลมาเป็นหนังยาวเรื่องปัจจุบันของเขาด้วยฉากที่ลูกทิ้งข้าวที่กำลังรับประทานอย่างอร่อยมากเนื่องจากว่ากลัวแม่มองเห็น ฉากที่แม่ทุ่มโทรทัศน์จนถึงพังทลายด้วยเหตุว่าลูกกำลังดูก่อนยการที่ถูกใจ
ความเข้มงวดกวดขันที่ถูกกระทำไม่มีความต่างจากหมูในคอกแคบๆเลยนิดหน่อย เป็นการชี้ว่า การเอาจริงเอาจังกับลูกจนกระทั่งเกินควร เว้นแต่ทำให้ความเกี่ยวเนื่องห่วยแตกลง ยังประทับความจำที่ชอกช้ำลงในหัวใจลูกอีกต่างหาก จนกระทั่งในที่สุดผลงานของแม่ที่ตั้งจิตใจปั้น ก็บางทีก็อาจจะเหยเกและก็ไม่เหมือนกันกับที่คิดอย่างที่ไม่มีทางคาดถึง แล้วก็น้อยผู้ที่จะได้ได้โอกาสกลับมาเริ่มต้นใหม่ อย่างในละคร
พูดได้ว่าเพียงแต่ 4EP ก็แต่งเรื่องสร้างราวให้พวกเราต้องการจะติดตามอยู่มาก ทั้งยังสร้างความสำราญ ความเศร้าใจที่ทำให้ผู้ชมเชื่อฟังไปกับอารมณ์ของผู้แสดง ทั้งยังมุมดาร์กๆและก็มุมน่ารักน่าเอ็นดูที่หลังจากนี้คังโฮแล้วก็ยองซุนสองแม่ลูกจะเรียกเสียงหัวเราะแล้วก็น้ำตาจากผู้ชมได้อีกเพียบเลย รวมถึงอีมีจูรวมทั้ง ‘บังซัมชิก’ (ยูอินอู) สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาประจำหมู่บ้าน ที่เป็นอีกสองนักแสดงหลักของเรื่อง และก็จะมีผลให้เรื่องราวที่เหลืออยู่เข้มข้นกว่านี้อีกแน่ๆ betflix แฟนคลับชะเง้อชะแง้คอรอดูแก้อาการลงแดงกันได้เลย
