รีวิว PENINSULA

รีวิว PENINSULA

รีวิว TRAIN TO BUSAN: PENINSULA

รีวิว PENINSULA ตอนหลายปีที่ผ่านเลยมานี้ เกาหลีใต้ประสบผลสำเร็จอย่างมากสุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลก นั่นก็คือ Parasite (2019) ได้เป็นหนังทวีปเอเชียเรื่องแรกที่ชนะออสการ์สาขาภาพยนตร์เยี่ยมยอด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากความสามารถของผู้กำกับฯ อย่าง Bong Joon-ho แล้ว เรายังจำเป็นต้องให้เครดิตกับหนังซอมบี้ TRAIN TO BUSAN (2016) ที่ช่วยปูทางรวมทั้งสร้างแต้มบุญให้หนังประเทศเกาหลีเรื่องหลังๆมาด้วยแล้วระดับหนึ่งประเทศเกาหลีใต้ดูเหมือนไปได้ดีกับการสร้างจักรวาลหนังซอมบี้ของตนเอง ตั้งแต่ Rampant (2018) กับ Kingdom (2019) ซึ่งเป็นซอมบี้ตั้งแต่ยุคสมัยประเทศเกาหลียังคงมี King ทรงเป็นประธาน รวมถึงจักรวาลซอมบี้สมัยทุนนิยมที่เราเคยชินของผู้กำกับฯ Yeon Sang-ho ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำเนินมาแล้ว 3 ภาค ยกตัวอย่างเช่น SEOUL STATION, TRAIN TO BUSAN, และปัจจุบัน PENINSULA เป็นลำดับในระหว่างที่ฝั่งอเมริกายังคงปิดโรงหนังและเลื่อนการฉายหนังน้อยหนังใหญ่ ตั้งแต่ Tenet ของเสด็จบิดา Nolan, ฺBlack Widow ของ Marvel, Mulan ของ Disney, Wonder Woman 1984 ของ DC อื่นๆอีกมากมาย แต่ว่าฝั่งเกาหลีใต้ปล่อย PENINSULA ภาคต่อ TRAIN TO BUSAN ออกมาฉกฉวยรายได้รวมทั้งกอบกู้วิกฤติ COVID-19 ของโรงหนังทั่วเอเชีย

PENINSULA มียานพาหนะทุกอย่างในเรื่อง ไม่ว่าจะรถยนต์ รถบรรทุก เรือ รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ แต่ไม่มีรถไฟอยู่ในหนังเหมือนสองภาคแรก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า เรื่องราวใน PENINSULA คือเหตุการณ์ 4 ปีภายหลัง Gong Yoo จากไปใน TRAIN TO BUSAN ซึ่งสาธารณรัฐประเทศเกาหลีล่มสลายแล้ว ระบบขนส่งมวลชนก็ไม่มีแล้วเรื่องย่อ PENINSULAใน PENINSULA ไม่มีนักแสดงเก่าจาก TRAIN TO BUSAN เลย เป็นการเล่าจักรวาลเดียวกัน คนละช่วง (ห่างกัน 4 ปี) และเป็นตัวละครใหม่ชูเซต โดยศูนย์กลางของเรื่องคือผู้กอง Jung-seok (Kang Dong-won จาก Master)

ที่พาตนเองแล้วก็ครอบครัวของพี่สาวขึ้นเรือหนีตายจากประเทศที่ไวรัสกำลังระบาด แต่ในที่สุดก็มีเพียงแค่ตัวเขากับ Cheol-min พี่เขย (Kim Do-yoon) เพียงแค่นั้นที่เหลือรอดไปจนถึงเกาะฮ่องกงพวกเขาถูก racist โดยคนประเทศฮ่องกง เหมือนที่ในชีวิตจริง ณ ช่วงนี้ คนเชื้อสายจีนทั่วโลกกำลังถูก racist ว่าเป็นตัวแพร่เชื้อ coronavirus รวมทั้งมีชีวิตอย่างลำบาก

กระทั่งต้องตกลงใจรับงานจากนักธุรกิจชาวอเมริกันที่ว่าจ้างให้เขาไปขนเงินหลายล้านดอลล่าร์บนรถบรรทุกที่ยังติดอยู่บนแหลมเกาหลีเมื่อได้กลับไปเหยียบบ้านเกิดเมืองนอนอีกรอบ พวกเขาพบว่า เว้นเสียแต่ซอมบี้แล้ว บนคาบสมุทรนั้นยังมีผู้เหลือรอดชีวิตอยู่ด้วย พวกเขาถูกโจมตีโดยหน่วย 631 นำโดยจ่า Hwang (Kim Min-jae) และหัวหน้า Seo (Koo Kyo-hwan) ผู้จำต้องเดินทางออกหาอาหารไปประทังชีวิตคนในค่าย ซึ่งเดิมเคยเป็นศูนย์การค้ามาก่อน และก็ในขณะเดียวกัน ก็ต้องการหาทางหลุดพ้นไปจากนรกแห่งนี้

Jung-seok ได้รับการช่วยเหลือจากเด็กผู้หญิงสองลูกพี่ลูกน้อง Joon-i (Lee Re) รวมทั้ง Yoo-jin (Lee Ye-won

แม้กระนั้นพี่เขยของเขาถูกจับตัวไปที่ค่าย แล้วก็ถูกบังคับเป็น gladiator (?) หนีซอมบี้ในลานเกมกีฬา Jung-seok กับ Min-jung (Lee Jung-hyun จาก The Battleship Island) ผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงทั้งคู่ พากันย้อนกลับไปที่ค่ายเพื่อไปช่วยพี่เขย แล้วก็เอาวิทยุสำหรับติดต่อสื่อสาร ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะพาพวกเขาออกไปจากที่ที่นี้รีวิว PENINSULAสำหรับเรา เรายก TRAIN TO BUSAN ขึ้นหิ้งไปแล้ว นึกออกว่าขณะนั้นให้คะแนนไป 9.5/10

ด้วยความกลมกล่อมลงตัวทั้งแอ็คชั่น ทริลเลอร์ ดราม่า เสียดสีทุนนิยม ตีแผ่ความเป็นคน และก็ความ “กงยู” ประกอบกับการเล่นกับพื้นที่ (รถไฟ) แล้วก็งบประมาณ (8.5 ล้านดอลล่าร์ฯ) อันจำกัดได้อย่างคุ้ม เอาง่ายๆเป็น TRAIN TO BUSAN ทำมาตรฐานไว้สูงและก็ยกระดับหนังซอมบี้เกาหลีไปแล้วหลายขั้นเมื่อ PENINSULA มาคราวหน้า ก็ไม่แปลกที่จะถูกมุ่งมาดไว้สูง แต่ผู้กำกับฯ มีความทะยานอยาก ทั้งได้ทุนสร้างที่ครึ้มขึ้นแทบเท่าตัว (16 ล้านดอลล่าร์ฯ)

ก็ต้องการทำให้ PENINSULA ต่างจาก TRAIN TO BUSAN (ยกเว้นฉากเปิดเรื่องที่อยู่บนเรือ ที่ยังมีความต่อเนื่องกับ TRAIN TO BUSAN อยู่บ้าง) และก็อยากที่จะให้มีความคล้าย Mad Max: Fury Road จึงทำให้ PENINSULA มีความแอ็คชั่นทริลเลอร์กับ car chase จัดจ้าน พึ่ง CGI หนักหน่วง จนกระทั่งซอมบี้กลายเป็นตัวประกอบระดับล่างของหนัง

ตัวบทก็ดร็อปลงไปมาก หนังตัดทอนความสำคัญของพาร์ทดราม่า

ซึ่งเป็นส่วนของการเผยแพร่สังคมกับความเป็นคนลงไป ไม่มีฉากน่าจำตรึงใจ มีแต่ว่าฉากที่บางทีอาจจะมองสนุกสนานในขณะที่อยู่ภายในโรง แต่ว่าพอดูจบและสิ้นสุดกัน ข้อสรุปคาดการณ์ได้ง่ายแรงบันดาลใจรวมทั้งบริบทต่างๆของตัวละครยังไม่เมคเซนส์ ถึงแม้นักแสดงจะแสดงดีมากแค่ไหน พวกเราจึงยังไม่เชื่อขนาดนั้น ดังเช่นว่า เด็กหนุ่มสาวที่ดริฟต์รถเก่งราวกับวิญญาณ Paul Walker (Fast & Furious) มาสิง และท่าทางการซิ่งที่โอเว่อร์คดโกงหลักฟิสิกส์ กระทั่งไปถึงค่ายของหน่วย 631 ที่มองเห็นมีแม้กระนั้นผู้ชาย ดุจดั่งเกาหลีไม่มีเพศหญิงเหลือรอดจากมหันตภัยซอมบี้นี้ได้เลย

(แต่ว่านางเอกกับลูกเคยอยู่ค่ายนี้มาก่อนด้วยนะ งงงวย อยู่ได้ยังไง)แม้กระนั้นถ้าเกิดมองเป็นหนังป๊อปคอร์นเรื่องหนึ่ง เป็นหนังซอมบี้เรื่องหนึ่ง โดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับ TRAIN TO BUSAN ก็ต้องบอกว่า PENINSULA ก็ทำเป็นไม่แย่ ดูสนุกได้เรื่อยนอกจากช่วงกลางเรื่องที่มีดำเนินเรื่องแผ่วๆบ้าง ก่อนที่จะไปจัดหนักจัดเต็ม

อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านกับฉาก car chase ในช่วงราวๆ 30 นาทีของหนัง และยิงดราม่าครอบครัวเบาๆก่อนจบตามสูตรสำเร็จซึ่งพาร์ทดราม่านี้ก็ทำเป็นไม่ซาบซึ้งใจเท่าผลสรุปของกงยูใน TRAIN TO BUSAN หรอก แม้กระนั้นมีประโยคหนึ่งที่กินใจเราจนกระทั่งแอบน้ำตาคลอหน่วย

โน่นเป็นคำกล่าวของตา Kim (Kwon Hae-hyo) ซึ่งยอดเยี่ยมในผู้แสดงของเรื่อง ที่กล่าวกับหลานๆของเขาว่า “ตาขอโทษที่ทำให้พวกคุณจำต้องมาอยู่บนโลกแบบงี้” เพราะมันเผยแพร่สังคมตอนนี้ ที่โลกมันเละเทะขึ้นแล้วก็น่าอยู่ลดลงเข้าไปทุกๆวันๆเนื่องจากว่าความเห็นแก่ได้ของคนสมัยเก่าๆอย่างเขา (แต่อย่างต่ำ ตา Kim คนนี้เขาก็เสียใจ แล้วก็อุตสาหะปรับปรุงแก้ไขให้บุตรหลานเขาได้มีอนาคตที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้)ตลอดเรื่อง หนังก็จะมี message

เกี่ยวกับเรื่องของความเห็นแก่ได้สอดแทรกอยู่ ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ดารานำชายจำต้องตกลงใจไม่รับคนเดือดร้อนติดขึ้นรถมาท่าเรือด้วยด้วยเหตุว่ากลัวว่าจะพาเชื้อขึ้นรถ หรือกลางทางที่จำเป็นต้องตกลงใจหลายทีว่าจะช่วย/ไม่ช่วย จะทำ/ไม่ทำ จะไป/ไม่ไป เพื่อเอาตนเองให้รอดไว้ก่อนหรือเพื่อที่จะช่วยทำให้ผู้อื่นได้รอดไปร่วมกันกับเราด้วย แต่ถึงกระนั้น ใจความสำคัญก็ยังไม่ชัดขนาดนั้นโดยสรุป PENINSULA ซึ่งเป็นภาคสาม ยังไม่เฉียบคมเท่าสองภาคแรก

บทอ่อนกว่ามากมาย แม้กระนั้นไปเน้นย้ำฉากแอ็คชั่นไล่ล่ากับ CGI อันทะยานอยากแทน ซึ่งก็ทำได้ไม่ถึงเท่า Mad Max หรือ Fast & Furious แม้กระนั้นก็จัดว่านำหน้าหนังไทยไป 400 ปี สามารถไปดูสนุกเพลินๆได้ นักแสดงประพฤติดี (ดารานำชายหล่อ) และก็ควรค่าแก่การไปดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆรวมทั้งระบบซาวนด์แจ๋วๆที่สุุดในตอนนี้คะแนนตามความพอใจส่วนตัว 7.5/10

ข้อดี

งานสร้างได้มาตรฐานสากลดีอยู่ แม้ CG จะหลุดๆบ้างแม้กระนั้นก็นิดหน่อยมีฉากแอ็กชันตูมตามมาเอาใจผู้ชมสายบู๊อยู่เนืองๆจุดพินิจแนวหนังผิดจากหนังภาคก่อนพอควรซอมบี้เกือบจะไม่มีความสำคัญในเรื่องราวเท่าไรนักไม่ค่อยผูกพันกับตัวละครเท่าที่ควรขาดฉากที่ทำให้ตื่นเต้น หรือ น่าสยองขวัญต้องเห็นด้วยกันล่ะว่าหนังซอมบี้ที่เสมือนจะตายไปจากตลาดหลายรอบก็กลับมามีผลงานเด่นๆได้เสมอ

เนื่องจากว่าหนังซอมบี้เป็นหลักที่ให้พูดประเด็นการเมืองรวมทั้งความฉ้อฉลโสมมของผู้คนก้าวหน้าที่สุด และสำหรับประเทศเกาหลีใต้เองก็เคยส่ง Train to Busan หนังซอมบี้วิพากษ์การทำงานของรัฐบาลแล้วก็พูดถึงสังคมเกาหลีในโบกี้รถไฟไปปูซานที่ดันมีซอมบี้หลุดเข้าไปในขบวนรถไฟแคบๆสร้างความครึกครื้นให้หนังตระกูลซอมบี้ได้มาก แล้วก็ตอนนี้ ฮยอนซังโฮ ผู้กำกับ Train To Busan

ก็ไม่รอคอยช้าที่จะสานต่อความสำเร็จด้วย Peninsula หนังซอมบี้โลกอนาคต Dystopia หรืออนาคตอันมืดหม่นหมองมาลงตลาดในปีนี้โดย Peninsula จะเล่าถึงช่วง 4 ปีข้างหลังเหตุจาก Train to Busan โดยคาบสมุทรประเทศเกาหลีทั้งเหนือแล้วก็ใต้เต็มไปด้วยผู้ติดโรคจนทางการจะต้องสั่งย้ายถิ่นประชาชนออกจากแหลมเกาหลี แล้วก็หนึ่งในผู้รอดพ้นจากความตายที่กลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องก็ได้แก่ จองซอก (คังดเว้นงวอน)

ทหารเกาหลีใต้ที่ไม่อาจรักษาชีวิตพี่สาวตัวเองไว้ได้ เขาจำต้องหอบความผิดพลาดบาปและก็พี่เขยที่เกือบจะใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งไปวันๆไปยังฮ่องกงเพื่อเอาชีวิตรอด แต่และมีเหตุให้ทั้งคู่จะต้องกลับไปยังแหลมประเทศเกาหลีอีกรอบโดยข้อเสนอแนะจากอันธพาลที่ประเทศฮ่องกงเป็นกลับยังเกาหลีเพื่อขับรถขนเงินมูลค่า 20 ล้านเหรียญกลับมาคืนพวกมัน โดยมีเงินส่วนแบ่งคนละ 2.5 ล้านเหรียญเป็นเงินรางวัล งานนี้จองซอกแล้วก็พี่เขยพร้อมคนประเทศเกาหลีอีก 2 คนจำต้องกลับไปผจญเหล่าซอมบี้อีกที

โดยหารู้ไม่ว่าขณะนี้ประเทศเกาหลีได้เปลี่ยนเป็นเมืองผุพังที่มีมนุษย์น่าขนลุกกว่าผู้ติดเชื้อโรคเสียอีก แถมชะตากรรมยังเป็นเหตุให้จองซอกจำเป็นต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความผิดพลาดบาปในอดีตอีกทีหากจะให้จำกัดความ Peninsula ของฮยอนซังโฮก็คงจะต้องกล่าวว่ามันคือหนัง Mad Max ที่มานะจะขายความดิบไม่มีอารยธรรมและความเลวทรามของมนุษย์ แถมยังยืดอกรับเต็มปากว่าฉากแอ็กชันด้านหลังเรื่องตนเองก็ได้แรงผลักดันมาจาก Mad Max Fury Road

เต็มๆนำมาซึ่งการทำให้ซอมบี้แปลงเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งที่เอ๋ยถึงความชำรุดทรุดโทรมเน่าเฟอะของคนเราแล้วก็เป็นตัวเปรียบความน่าสะพรึงกลัวที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์และการพยายามเอาชีวิตรอดนำไปสู่ความน่ากลัวต่างๆมากมายโดยเฉพาะกีฬามนุษย์หนีซอมบี้ที่เปลี่ยนเป็นความเบิกบานใจทารุณโหดร้ายให้กับบรรดามาเฟียที่ตั้งตนยิ่งใหญ่ในดินแดนทรุดโทรมแม้กระนั้นการกลับแนวของฮยอนซังโฮกลับเปลี่ยนเป็นดาบ 2 คมอย่างช่วยไม่ได้

เพราะเหตุว่าในเมื่อหนังโปรโมตตัวเองให้อยู่ในเชื้อสายหนังซอมบี้แล้วก็วางตัวเองเป็นภาคต่อ Train to Busan ด้วยเหตุดังกล่าวตัวหนังเลยออกมาผิดความมุ่งมาดของคนดูแน่นอน งานนี้เว้นเสียแต่ตัวซอมบี้จะมิได้น่าสะพรึงกลัวหรือสร้างความตื่นเต้นและมีบทบาทสำคัญเสมือนหนังภาคแรกแล้ว การเป็นหนังภาคต่อก็มิได้ต่อยอดใจความสำคัญหรือชะตาชีวิตผู้แสดงที่ผู้ชมให้ใจไปกับหนังภาคแรกอีกด้วย

https://www.ap0calypse.com

My Review

Review Form...

Reviews

Loading Reviews...